เปิดชีวิต อดีตตลกดัง หยก มกจ๊ก
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตลกเด็กในตำนานสำหรับน้องหยก มกจ๊ก อดีตตลกเด็ก ที่เมื่อ 10 ปี ก่อนเธอโด่งดังมาก ก่อนชีวิตจะพลิกผัน จนต้องหายจากวงการไปนับ 16 ปี มาในตอนนี้น้องหยกอายุ 25 ปีแล้ว ได้ออกมาเล่าชีวิตที่ผ่านมาของเธอในรายการคุยแซ่บโชว์ถ่ายทอดชีวิตอีกด้านที่หลายคนไม่เคยรู้ว่าเธอนั้นเคยหลงผิดติด ย า และเกือบถูกทำร้ายมาแล้ว
ทีมงานเล่าให้ฟังว่าตอนเด็กหยกลำบากมาก น้ำก็ต้องซื้อมาอาบ หยก : ก็ตั้งแต่แม่เสี ย ชีวิตหนูเปลี่ยนไปเลย ทีแรกเรียนอยู่ แล้วพ่อเปิดร้านรับซื้อของเก่า ไปทำแรกๆ คือมีเงินเลย มีรถ มีเงิน มีทุกอย่าง พอแม่เสี ย ทุกอย่างพลิกผัน พ่อโดนโกงเอาร้านคืน แล้วพ่อก็มีครอบครัวใหม่ หนูก็อยู่ไม่ได้แล้ว ขอไปอยู่กับพี่ที่เลย เสร็จปุ๊บก็ย้ายมาอยู่โคราช แล้วย้ายมาชลบุรีอีก ย้ายมาขอนแก่นอีก ย้ายไปย้ายมา แต่ตอนนั้นที่ไปอยู่ชลบุรีหนูเรียนอยู่ ม.5 - ม.6 แล้วพอไปอยู่เหมือนเปิดร้านรับซื้อของเก่า แต่ว่าไปขอไฟแล้วไฟมันเข้าไม่ถึง พ่อบอกไม่เป็นไร เข้าไม่ถึงก็ไม่ต้องใช้ไฟ ก็คือใช้แบตเตอรี่ ใช้ตะเกียง แล้วก็โทรศัพท์หนูก็ไม่มีนะ ตอนกลางคืนนอนฟังวิทยุธานินทร์
ใช้ชีวิตแบบนี้มานานแค่ไหน หยก : ประมาณ 2 ปี ตอนนั้นอยู่กับพ่อ น้อง แล้วก็แฟนใหม่พ่อ แล้วก็ลูกชายพ่ออีกคนนึง ก็คือพ่อมีครอบครัวใหม่ มีลูกใหม่
ที่บอกว่าย้ายไปนู่น นี่ คือย้ายไปกับคุณพ่อ หยก : ก็คือว่าหลังจากพ่อเซ้งร้านที่ไม่มีน้ำ ไฟ หนูก็ย้ายกลับไปอยู่ขอนแก่น ย้ายของทุกสิ่งอย่างกลับไปถาวร ตั้งแต่เด็กจนโต หนูไม่เคยอยู่บ้านตัวเองเลย ซึ่งจากในเมืองไปถึงบ้านหนู ระยะทางไป-กลับ ประมาณ 21 โล
ที่บอกว่าไม่เคยอยู่บ้านตัวเองตอนนั้นเราไปอยู่ไหน หยก : ก็มาเล่นตลกตั้งแต่อนุบาล 3 ก็คืออาเขามาเห็นแวว จำได้ว่าตอนนั้นอยู่บ้านญาติ
เหลือเฟือ : คือวันนั้นพี่จำหยกไม่ได้ด้วย คือพวกเราชาวคณะจะไปเล่นที่ขอนแก่น ก็เลยไปแวะที่บ้านน้องหยกก่อนที่จะเข้าขอนแก่น ซึ่งเป็นบ้านเกิดพี่นี่แหละ
พอแวะไปปกติเด็ก 3 ขวบ มันไม่กล้าที่จะมาหาคนแปลกหน้าหรอก นี่วิ่งมา พอเปิดประตูปุ๊บ อาเกมส์สวัสดีค่ะ พากันมาทำอะไร เราก็บอกว่ามาแวะกินข้าว อยู่กรุงเทพบ่มีกินบ่ มากินไกลแท้ เราก็เลยคิดว่าทำไมไอ้นี่มันพูดเป็น ก็ถามว่าลูกใคร ก็รู้ว่าเป็นลูกของลูกพี่ลูกน้องกัน ก็บอกให้เก็บเสื้อผ้าขึ้นรถ เดี๋ยวพาไปอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันนั้นเอาน้องหยกมายังไม่ถึงกรุงเทพนะ แวะเล่นวิลลาก่อนเลย ก็โอเค
ครั้งแรกที่เล่นเขาตื่นเวทีไหม เหลือเฟือ : ตามธรรมชาติเลย หยกขึ้นไปเล่น เรารู้อยู่แล้วผิดมุกก็คือผิดมุก ตั้งแต่นั้นมาน้องหยกเกิดเร็วมาก
ย้ายบ้านตอนไหนที่ทีมงานบอกพี่ว่าเกือบถูกทำร้าย หยก : คือตอนนั้นหนูย้ายกลับมาอยู่ที่ชลบุรีอีกรอบ เพื่อนบอกว่ามาช่วยร้องเพลงหน่อย แล้วตอนนั้นหนูก็ไม่รู้ว่าหนูจะไปอยู่ที่ไหน ซึ่งในตอนนั้นมีแค่คนรู้จักหนูเคยทำงานร้านสะดวกซื้อร้านนึง แล้วทีนี้เหมือนกับว่าพี่คนนี้เคยทำงานด้วยกัน สนิทกัน หนูก็บอกว่าหนูไม่รู้จะไปอยู่ไหน หนูไปอยู่ด้วยแป๊บนึงได้ไหม เขาบอกมาๆ อยู่ด้วยเขาก็ดูแลเราดีนะ แต่พอทีนี้พี่คนนี้เขาเข้ากะดึก แล้วแฟนเขาก็ 40-50 แล้ว แล้ววันนั้นเรา ป่ ว ย ไม่สบายก็มาแบบอะไรอย่างนี้ ตอนนั้นโทรศัพท์ไม่มี มีแค่ซิมอย่างเดียว หนูเดินข้างถนนไปเจอพวกพี่ๆ นั่งทานหมูกระทะ หนูเลยบอกว่าพี่หนูขอความช่วยเหลือหน่อยหนูไม่ไหวแล้ว ไม่อยากอยู่ตรงนี้ ก็คือยืมโทรศัพท์เขาเพื่อจะเอาซิมตัวเองใส่ในโทรศัพท์แล้วก็โทรไปอยู่กับเพื่อน
ตอนที่เราโดน ล ว น ล า ม ตอนนั้นเราหนีมายังไง พอจำได้ไหม หยก : คือเขายังไม่ได้ ฉุ ด ก ร ะ ช า ก แบบนั้น เขามีท่าทีหนูก็รีบลุก แล้วรีบเก็บข้าวของเดินไปตามทางถนน หลังจากนั้นไม่นานหนูไปทำงานที่ร้านหมูกระทะก่อนพอเริ่มเก็บเงินได้ประมาณพันกว่าบาท หนูก็ซื้อโทรศัพท์พันกว่าบาทมาใช้ ก็มีเฟซบุ๊กก็เลื่อนดูนู่นนั่นนี่ เอาจริงๆ ชีวิตหนูไม่เคยคิดที่จะอยากมาอยู่กรุงเทพฯ เลย เพราะหนูคิดว่ามันวุ่นวาย พอวันนั้นตัดสินใจว่าจะไปทำงานที่กรุงเทพ
พอตอนนั้นเราก็กลับมาอยู่กับคุณพ่อเหมือนเดิม หยก : อยู่กับคนที่รู้จัก พ่อก็ให้เบอร์อาศรีหลอดมา หนูก็โทรหา อยากมาทำงานที่นี่ มีอะไรให้หนูทำบ้างไหม เขาก็บอกว่าเก็บของมาอยู่กับอาก่อน อยู่ได้ประมาณ 2 อาทิตย์ คือหนูไปกินนอนบ้านอาศรีหลอด ตอนนั้นอาหลอดเขาทำน้ำพริก หมูฝอยขายด้วย อาอู๊ดเขาก็ติดต่อมาเป็นยังไงบ้างหลาน สบายดีไหมนู่นนั่นนี่
ตอนนั้นหนูเลือกที่จะโทรหาอาอู๊ดกับอาหลอด ทำไมไม่โทรหาอาเหลือ หยก : เอาจริงๆ เมื่อก่อนนี้อาเขางานเยอะมากๆ ด้วยความที่ไม่ได้เจอกันนานมากๆ หนูก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไง แบบไหนสมัยที่ทำงานเขาก็ไม่ค่อยได้มาที่คณะ เพราะว่าไปถ่ายละคร ไปทำนู่น ทำนี่ อย่างอาหลอด อาอู๊ดนั่งรถตู้ก็นั่งคันเดียวกัน บางทีก็มีไปกินข้าวที่บ้านบ้าง เหมือนกับเราเล่น เราสนิทกันมากกว่า
ทำงานมาหลากหลายมาก เป็นแดนซ์เซอร์ด้วย แต่ไม่ชอบเป็นเพราะอาย หยก : บางทีเต้นแล้วก็ร้องเพลง แล้วบางทีลูกค้าก็บอกว่านั่นไง น้องหยกที่เล่นหนัง ช้างเพื่อนแก้ว มันก็รู้สึก จุ ก อ กนิดนึง จากที่เราเคยขึ้นไปมีชื่อเสียง มีเงิน มีทอง แล้วอยู่ดีๆ เรามาอยู่ในจุดจุดนี้ถามว่าหนูอายไหม หนูไม่เคยอาย ซึ่งหนูยินดีกับทุกๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตหนูมากๆ เพราะว่า 1. มันเป็นบทเรียน แล้วหนูก็ดูแลตัวเอง ซัพพอร์ตตัวเองมาได้ตลอด ไม่ว่าหนูจะทำอาชีพอะไรก็ตาม หนูคิดว่ามันเป็นอาชีพสุจริตทำแล้วไม่ได้ไปเดือดร้อนใคร
ทุกวันนี้ยังมีคนจำเราได้ หยก : จำได้ ตอนที่หนูชีวิตเปลี่ยน หนูไปอยู่ที่โนอาแล้ว ด้วยความที่โนอาร์กับพระรามเก้ามันอยู่ใกล้ๆ กัน แล้วมีคนจำได้ว่า ไอ้หยกนี่ ก็มีลูกค้าเอ็นดู ทุกคนจำได้
ชีวิตหยกช่วงนึงดีมาก รับทิปวันนึงพัน สองพันจากพวงมาลัย หยก : ค่ะ
แล้วเกิดอะไรขึ้นที่เริ่มเปย์เพื่อน เริ่มเที่ยว หยก : หลง ร ะ เ ริง หนูทำงาน 2 เดือนเก็บเงินได้เกือบล้าน ก็ร้องเพลง มีคนมาเอ็นดู มีแฟนด้วย หนูคิดว่าเวลาเราดวงขึ้นตอนนั้นก็มีคนมาเอ็นดูเรามาคล้องทุกวันๆ วันละ 3-4 หมื่น
2 เดือนเก็บเงินได้เกือบล้าน เห็นว่าตอนนั้นหลงระเริงมาก จนติด ย า หยก : คือมีเพื่อน อันนี้หนูทำงานกลางคืนไม่ได้เหมารวมว่าทุกคนจะต้องเป็น ก็มีเลี้ยงเพื่อนอะไรด้วย หลายๆ อย่าง ไม่เคยคิดถึงอนาคตตัวเองซึ่งตอนนั้นมีค่ายเพลงมาติดต่อ แล้วไปออกอัลบั้มกับเขา แต่ด้วยความที่หนูไม่ได้คิดถึงอนาคตตัวเอง ก็คิดว่าตอนนี้อยู่ตัวแล้วหนิ เงินเราก็มี ไม่ต้องไปดิ้นรนก็ได้มั้ง เพราะหนูคิดว่าวงการบันเทิงมันไม่ใช่ของเราแล้ว หนูคิดแบบนี้ ไม่เคยคิดว่าเวลาป่วยต้องมีเงิน ตอนที่มีเงินไม่เคยกลับบ้านด้วย
ตอนนั้นหมดเงินไปกับอะไรบ้าง หยก : เลี้ยงเพื่อน เมาก็ใจใหญ่ ตัวเองไม่ได้กิน กินน้ำเปล่า อยากใช้ก็ใช้
พาไปจุดเริ่มต้นที่เราใช้ ย า ด้วย หยก : มีค่ะ แต่หนูไม่ได้ติด นานๆ ที เจอเพื่อน เฮฮาปาร์ตี้ แต่อาทิตย์นึงก็เที่ยวบ่อยเหมือนกัน เหมือนเราได้วันละ 5,000 แต่พอเราอัป เราขาดงานไป 3-4 วัน มันขาดรายได้ไปเยอะเลยนะแล้วเราจะมาใช้ชีวิตอยู่ตรงนี้ตลอดเหรอ มาคิดได้ตอนนั้นพ่อบอกว่ามีเงินไหม ยืมเงินหน่อย มาจ่ายค่างวดรถ แค่หมื่นเดียวหนูบอกไม่มี แต่กับเพื่อนยืมหน่อย นู่นนั่นนี่
จุดนี้เป็นจุดที่เราคิดได้ หยก : หนูรู้สึกผิดมาตลอดชีวิต เอาจริงๆ สุดท้ายแล้วในชีวิตคนเราถ้าวันนึงเราเจออะไรก็ตาม สมมติถ้าวันนึงเรามีแฟน เราเลิกกับแฟน เราไม่สบายใจ สุดท้ายเรากลับไปพักใจที่บ้าน พ่อ แม่ พี่ น้อง ปู ย่า ตา ยาย เขาก็ยังอยู่ตรงนี้ มันทำให้หนูคิดได้ในหลายสิ่งหลายอย่างว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือครอบครัว หลังจากนั้นหนูเลิกทุกอย่างขาดหมดเลย
ได้ฟังชีวิตหลานเป็นไงบ้าง เหลือเฟือ : มันไม่ใช่สูตรสำเร็จของคนทั่วไปนะ ว่าพอมีอะไรแล้วต้องไปติด ย า ทำไมต้องเป็นแบบนี้ อย่างชีวิตน้องหยก ถ้าฟังแล้วไม่ใช่แค่เราได้ยินแค่น้องหยกคนเดียว เราได้ยินมาเยอะแต่เรารู้สึกว่า ด้วยอีกคนเหรอที่เป็นแบบนี้ ถ้าฟังแล้วคิดนะ น้องหยกโตไม่ทันที่อาจจะสอนว่างานวงการบันเทิง ศิลปิน ดารา นักแสดง มันไม่มีอาชีพนี้หรอกจริงๆ มันคืองานอดิเรก พอเราได้เราต้องเก็บ
ตอนนั้นเราใช้เงินไปเยอะ ในวันที่เรา ป่ ว ย เราไม่มีเงินเยอะมารักษาตัวเอง หยก : เงินที่มีก็รักษาตัวเองหมดเลย
ความฝันของหยกคืออยากเป็นนักร้อง หยก : อยากเป็นนักร้อง หนูคิดถึงงานในวงการมากๆ เลย
เรียบเรียงโดย ทีมงาน siamdrama